Chat with us, powered by LiveChat

แบบสัญญาต่างๆ


 

นิติกรรม-สัญญา: เกราะป้องกันปัญหาทางกฎหมายและคดีความ

ในโลกธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน "นิติกรรม" และ "สัญญา" เป็นสองคำที่มักได้ยินควบคู่กัน และเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลหรือนิติบุคคล การเข้าใจนิยามและหลักการที่ถูกต้อง รวมถึงการรู้จักวิธีป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

นิติกรรมและสัญญาคืออะไร?

ก่อนจะพูดถึงการป้องกันปัญหา เรามาทำความเข้าใจนิยามของ "นิติกรรม" และ "สัญญา" กันก่อน

  • นิติกรรม (Juristic Act): ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 ได้ให้นิยามว่า "อันว่านิติกรรมนั้น คือการใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ"

    อธิบายง่าย ๆ คือ นิติกรรมเป็นการกระทำของบุคคลที่มีเจตนาที่จะให้เกิดผลทางกฎหมาย โดยผลนั้นจะส่งผลต่อสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสิทธิใหม่ การเปลี่ยนแปลงสิทธิที่มีอยู่ การโอนสิทธิให้ผู้อื่น การรักษาสิทธิ หรือการยุติสิทธิ ตัวอย่างของนิติกรรม เช่น การทำพินัยกรรม การจดทะเบียนสมรส การรับรองบุตร การชำระหนี้

  • สัญญา (Contract): สัญญาเป็นนิติกรรมประเภทหนึ่ง แต่เป็นนิติกรรมที่มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นการแสดงเจตนาที่ตรงกันระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป เพื่อก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย "คำเสนอ" และ "คำสนอง" ที่ตรงกัน สัญญาจึงถือเป็นข้อตกลงที่ผูกมัดคู่สัญญาตามกฎหมาย และสามารถบังคับกันได้ตามกฎหมาย ตัวอย่างของสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญากู้ยืม สัญญาจ้างแรงงาน

จะเห็นได้ว่าสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของนิติกรรม แต่ไม่ใช่นิติกรรมทุกประเภทจะเป็นสัญญา

 

ประเด็นสำคัญในการป้องกันปัญหาทางกฎหมายและคดีความ

การทำนิติกรรม-สัญญาให้รัดกุมและถูกต้องตามกฎหมาย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อพิพาทและคดีความในอนาคตได้อย่างมหาศาล นี่คือประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา:

1. ความสมบูรณ์ของนิติกรรม-สัญญา:

  • ความสามารถของคู่กรณี: ตรวจสอบว่าคู่สัญญาหรือผู้ทำนิติกรรมมีคุณสมบัติและมีความสามารถตามกฎหมายหรือไม่ เช่น ไม่เป็นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือบุคคลไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ ที่จะทำนิติกรรมได้โดยลำพัง หากทำไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์ สัญญานั้นอาจเป็นโมฆียะหรือโมฆะ

  • เจตนาที่แท้จริง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจตนาในการทำนิติกรรม-สัญญาของทุกฝ่ายเป็นไปโดยสมัครใจ ไม่ได้ถูกข่มขู่ หลอกลวง หรือสำคัญผิดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของสัญญา หากมีเจตนาวิปริต สัญญานั้นอาจตกเป็นโมฆียะ

  • วัตถุประสงค์ไม่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี: วัตถุประสงค์ของนิติกรรม-สัญญาต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่เป็นการพ้นวิสัยที่จะกระทำได้ เช่น สัญญาซื้อขายยาเสพติด สัญญานั้นย่อมเป็นโมฆะ

 

2. แบบของนิติกรรม-สัญญา:

  • การปฏิบัติตามแบบที่กฎหมายกำหนด: นิติกรรม-สัญญาบางประเภทกฎหมายกำหนด "แบบ" ในการทำไว้โดยเฉพาะ เช่น ต้องทำเป็นหนังสือ ต้องมีพยาน ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติตามแบบที่กฎหมายกำหนด นิติกรรมนั้นอาจเป็น โมฆะ

    • ตัวอย่างนิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่: การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน, บ้าน, คอนโด), การจำนอง, การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์

    • ตัวอย่างนิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ: สัญญาเช่าซื้อ สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนำ สัญญาประนีประนอมยอมความ

    • ตัวอย่างนิติกรรมที่ต้องมีพยาน: พินัยกรรมบางประเภท

 

3. รายละเอียดและเนื้อหาในสัญญา:

  • ความชัดเจนและครอบคลุม: สัญญาควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น คู่สัญญา วัตถุแห่งสัญญา ราคา กำหนดเวลาการชำระเงิน การส่งมอบ เงื่อนไขต่าง ๆ และหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย เพื่อป้องกันความคลุมเครือที่อาจนำไปสู่การตีความผิดพลาด

  • ข้อตกลงและเงื่อนไข: ควรกำหนดข้อตกลงและเงื่อนไขที่สำคัญและจำเป็นให้ครบถ้วน รวมถึงเงื่อนไขในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

  • เงื่อนไขการเลิกสัญญา/บอกเลิกสัญญา: ระบุเงื่อนไขในการเลิกสัญญาหรือการบอกเลิกสัญญาให้ชัดเจน เช่น กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา หรือเกิดเหตุสุดวิสัย รวมถึงผลของการเลิกสัญญา

  • ค่าปรับและเบี้ยปรับ: หากมีค่าปรับหรือเบี้ยปรับในกรณีผิดสัญญา ควรระบุให้ชัดเจนและเป็นธรรมตามสมควร

  • การระงับข้อพิพาท: ควรมีข้อตกลงเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้ง เช่น การเจรจา การไกล่เกลี่ย หรือการฟ้องร้องต่อศาล โดยอาจระบุศาลที่มีเขตอำนาจไว้ด้วย

 

4. การพิจารณาข้อจำกัดความรับผิด 

  • จำกัดความรับผิดอย่างสมเหตุสมผล: ในบางสัญญาอาจมีการกำหนดข้อจำกัดความรับผิดของคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบอีกฝ่ายมากเกินไป

  • ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม: ระวังข้อตกลงที่อาจเข้าข่าย "ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" ซึ่งอาจถูกศาลเพิกถอนได้บางส่วนหรือทั้งหมด

 

5. การใช้เทคโนโลยีในการทำสัญญา:

  • สัญญาอิเล็กทรอนิกส์: ในยุคดิจิทัล การทำสัญญาอิเล็กทรอนิกส์เป็นที่นิยมมากขึ้น การรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) หรือการใช้ระบบที่น่าเชื่อถือในการทำสัญญาผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรพิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

 

6. บทบาทของผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย:

  • ปรึกษาทนายความ: สำหรับนิติกรรม-สัญญาที่สำคัญ ซับซ้อน หรือมีมูลค่าสูง ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อช่วยร่าง ตรวจสอบ หรือให้คำแนะนำ จะช่วยให้สัญญาถูกต้องตามกฎหมาย ครอบคลุม และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีที่สุด

  • การแปลเอกสาร: หากเป็นสัญญาที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ หรือต้องใช้ในต่างประเทศ ควรมีการแปลเอกสารโดยผู้เชี่ยวชาญและรับรองความถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาด้านภาษาและการตีความ

 

7. การเก็บรักษาเอกสาร:

  • เก็บรักษาเอกสารสำคัญ: หลังจากทำสัญญาแล้ว ควรเก็บรักษาต้นฉบับสัญญาและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้อย่างดีและปลอดภัย เพราะเอกสารเหล่านี้จะเป็นหลักฐานสำคัญเมื่อเกิดข้อพิพาท


 

สรุป

การทำนิติกรรม-สัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องธุรกิจ การให้ความสำคัญกับความถูกต้องตามกฎหมาย ความชัดเจนของเนื้อหา และการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ลดโอกาสในการเกิดข้อพิพาท และเป็นเกราะป้องกันปัญหาทางกฎหมายและคดีความในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในความเข้าใจและการเตรียมพร้อมที่ดีตั้งแต่ต้น จะคุ้มค่ากว่าการแก้ไขปัญหาเมื่อเรื่องราวบานปลายจนกลายเป็นคดีความ


หากคุณกำลังจะทำนิติกรรม-สัญญาที่สำคัญ คุณอาจพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อความมั่นใจสูงสุดได้นะครับ

Visitors: 71,604