Chat with us, powered by LiveChat

อุทธรณ์-ฎีกา

1. อุทธรณ์ - ฎีกา

A. ข้อกฎหมายและองค์ประกอบกฎหมายเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา
B. ฟ้องหรือสู้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต้องเตรียมพยานหลักฐานอะไรบ้าง
C. สู้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอย่างไรให้ชนะ
D. รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ

 

***************************************

 

A. การยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาในระบบกฎหมายไทยมีขั้นตอนและข้อกำหนดที่แน่นอน ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือการยื่นอุทธรณ์ และการยื่นฎีกา

 

### การยื่นอุทธรณ์
การอุทธรณ์เป็นการยื่นให้ศาลสูงกว่าพิจารณาคดีใหม่จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มีข้อกฎหมายและองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้:

 

1. **สิทธิอุทธรณ์**:
- คู่ความในคดีปกครองทุกคนมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์
- สามารถอุทธรณ์ได้ในกรณีที่มีคำตัดสินหรือคำสั่งที่มีผลกระทบตามกฎหมาย

 

2. **ระยะเวลายื่นอุทธรณ์**:
- ต้องยื่นคำอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ได้รับคำตัดสินหรือคำสั่ง
- ศาลสามารถพิจารณายื่นระยะเวลาเพิ่มเติมหากมีเหตุสมควร

 

3. **กระบวนการยื่นอุทธรณ์**:
- ยื่นคำอุทธรณ์ต่อศาลที่มีคำตัดสินหรือคำสั่ง หรือศาลอุทธรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- ต้องระบุเหตุผลและข้อกฎหมายที่ถูกผิดไปในการตัดสินของศาลชั้นต้น

 

### การยื่นฎีกา
การฎีกาเป็นการยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่จากคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ การยื่นฎีกามีข้อกฎหมายและองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้:

 

1. **สิทธิฎีกา**:
- คู่ความในคดีปกครองทุกคนมีสิทธิที่จะยื่นฎีกา
- สามารถฎีกาได้เฉพาะในกรณีที่มีปัญหาข้อกฎหมาย หรือเป็นกรณีที่มีประเด็นที่สำคัญซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้กฎหมายอื่น

 

2. **ระยะเวลายื่นฎีกา**:
- ต้องยื่นคำร้องฎีกาภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ได้รับคำตัดสินหรือคำสั่ง
- ระยะเวลานี้สามารถขยายได้หากมีเหตุพิเศษตามที่ศาลกำหนด

 

3. **กระบวนการยื่นฎีกา**:
- ต้องยื่นคำร้องฎีกาต่อศาลที่มีคำตัดสินหรือคำสั่ง หรือศาลฎีกา
- คำร้องฎีกาต้องมีการระบุเหตุผลที่ชัดเจนว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาผิดอย่างไรในเชิงข้อกฎหมาย

 

ข้อสรุปคือ การยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาในระบบกฎหมายไทยนั้น ผู้ยื่นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องยื่นในเวลาที่กำหนดและมีเหตุผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาทางข้อกฎหมายฎีกา

 

***************************************

 

B. การยื่นฟ้องหรือสู้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต้องเตรียมพยานหลักฐานอย่างสมบูรณ์ เพื่อสนับสนุนเหตุผลและข้อกฎหมายที่ต้องการแก้ไขจากคำตัดสินของศาลก่อนหน้า การเตรียมพยานหลักฐานที่ครบถ้วนมีความสำคัญและสามารถสรุปได้ดังนี้:

 

### พยานหลักฐานที่ต้องเตรียมในชั้นอุทธรณ์
1. **คำฟ้องอุทธรณ์**:
- เอกสารที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ โดยระบุข้อกฎหมายและเหตุผลว่าทำไมคำตัดสินของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่ผิดพลาด

 

2. **สำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น**:
- จำเป็นต้องมีสำเนาคำพิพากษาฉบับถี่ถ้วนของศาลชั้นต้นเป็นเอกสารแนบ

 

3. **พยานหลักฐานใหม่ (ถ้ามี)**:
- หากมีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่ได้นำเสนอในศาลชั้นต้น ต้องระบุในคำอุทธรณ์และเตรียมเอกสารพิสูจน์

 

4. **เอกสารและหลักฐานที่เคยยื่นในศาลชั้นต้น**:
- รวมถึงการบันทึกการพิจารณาคดี เอกสาร พยานบุคคล หรือหลักฐานต่าง ๆ ที่เคยใช้ในชั้นต้น

 

5. **ใบอนุญาตทนายความของผู้ยื่นอุทธรณ์**:
- หากใช้งานทนายความ ต้องมีเอกสารที่ยืนยันฐานะทางกฎหมายของทนายความ

 

### พยานหลักฐานที่ต้องเตรียมในชั้นฎีกา
1. **คำฟ้องฎีกา**:
- เอกสารที่ยื่นต่อศาลฎีกา โดยเน้นข้อกฎหมายที่สำคัญและเคลมว่าศาลอุทธรณ์ตัดสินผิดพลาดอย่างไรในเชิงข้อกฎหมาย

 

2. **สำเนาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์**:
- จำเป็นต้องมีสำเนาคำพิพากษาฉบับเต็มของศาลอุทธรณ์

 

3. **พยานหลักฐานใหม่ (ถ้ามี)**:
- พยานหลักฐานใหม่ที่ไม่ได้ยื่นในชั้นอุทธรณ์ ต้องระบุในคำฟ้องฎีกา

 

4. **เอกสารและหลักฐานที่เคยยื่นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์**:
- รวมถึงการบันทึกการพิจารณาคดี เอกสาร พยานบุคคล หรือหลักฐานต่าง ๆ ที่เคยใช้

 

5. **ใบอนุญาตทนายความของผู้ยื่นฎีกา**:
- ต้องมีเอกสารยืนยันฐานะทางกฎหมายของทนายความที่ดำเนินการยื่นฎีกา

 

การเตรียมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนและมีความถูกต้องสำคัญต่อโอกาสที่คำร้องอุทธรณ์หรือฎีกาจะถูกพิจารณาและยอมรับจากศาลสูงกว่า

 

***************************************

 

C. การชนะคดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราสามารถเพิ่มโอกาสสำเร็จได้โดยการเตรียมตัวและวางกลยุทธ์อย่างดี นี่คือบางข้อแนะนำ:

 

### การเตรียมตัวที่ดี
1. **ศึกษาและเข้าใจคำพิพากษาเดิม**:
- อ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น (ในกรณีอุทธรณ์) หรือศาลอุทธรณ์ (ในกรณีฎีกา) อย่างละเอียด เพื่อระบุข้อผิดพลาดทางกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาด

 

2. **รวบรวมพยานหลักฐานที่มีประสิทธิภาพ**:
- พิจารณาทั้งพยานหลักฐานที่เคยยื่นในศาลก่อนหน้า และพยานหลักฐานใหม่ที่อาจจะยังไม่ได้นำเสนอ
- เน้นสร้างพยานและหลักฐานที่สามารถชี้ให้เห็นความผิดพลาดของคำตัดสินเดิมได้อย่างชัดเจน

 

3. **ตามกฎหมายและระเบียบศาล**:
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำฟ้องและพยานหลักฐานทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบศาล เพื่อป้องกันการถูกปฏิเสธเนื่องจากข้อผิดพลาดทางเทคนิค

 

### วางกลยุทธ์ที่ชัดเจน
4. **เตรียมคำฟ้องที่แข็งแกร่ง**:
- การเขียนคำฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาที่ชัดเจนและสมบูรณ์ โดยระบุข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เกี่ยวกับว่าทำไมคำตัดสินของศาลเดิมจึงไม่ถูกต้อง

 

5. **เน้นการนำเสนอข้อกฎหมาย**:
- ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา การนำเสนอข้อกฎหมายสำคัญมาก ดังนั้นต้องให้เหตุผลทางกฎหมายที่เข้มแข็งและน่าสนใจกว่าศาลต้นหรือตอนอุทธรณ์

 

6. **การทำงานร่วมกับทนายความ**:
- ทนายความที่มีประสบการณ์ในการทำคดีอุทธรณ์และฎีกาจะมีความรู้เกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอข้อโต้เถียงทางกฎหมาย
- การมีทนายที่ดีจะช่วยในการปรับปรุงและเสริมสร้างข้อโต้แย้งจนถึงการนัดหมายในศาล

 

### ร่วมมือและสื่อสารที่ดี
7. **ติดต่อและสื่อสารกับพยานและผู้เกี่ยวข้อง**:
- หากมีพยานบุคคลที่สำคัญ ควรเตรียมการสื่อสารและสร้างความเข้าใจระหว่างทั้งสองฝ่าย และแน่ใจว่าพยานนั้นพร้อมให้การในศาล

 

8. **ติดตามข่าวสารและการตัดสินของศาล**:
- สืบค้นและศึกษาแนวทางการตัดสินของศาลในคดีที่คล้ายคลึงกันเพื่อปรับใช้ในคดีของคุณ

 

การชนะคดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต้องอาศัยการเตรียมตัวที่ดี การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการร่วมมือกับทนายความที่มีประสบการณ์ การทำงานที่ละเอียดถี่ถ้วนจะเพิ่มโอกาสสำเร็จในคดีของคุณได้มากขึ้น

 

***************************************

 

D. รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ
การรู้กฎหมายและรู้จักใช้ประโยชน์จากทนายความเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณไม่เสียเปรียบในคดีต่าง ๆ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำคัญ:

 

### **รู้กฎหมาย**
1. **ศึกษากฎหมายเบื้องต้น**:
- เรียนรู้หลักการและข้อกฎหมายพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีของคุณ เช่น กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง ฯลฯ
- ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์, หนังสือกฎหมาย หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจ

 

2. **รู้สิทธิและหน้าที่**:
- ศึกษาสิทธิ์ของตนเอง หน้าที่และข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อรู้สิทธิ์แล้ว สามารถปกป้องตนเองและต่อสู้ในกรณีที่ถูกละเมิดได้

 

### **รู้จักทนายความ**
1. **เลือกทนายที่มีความเชี่ยวชาญ**:
- เลือกทนายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในคดีที่คุณเผชิญ
- ทนายที่เคยจัดการคดีคล้ายคลึงหรือมีประวัติที่ดีจะทำให้คุณมั่นใจมากขึ้น

 

2. **สร้างความสัมพันธ์ที่ดี**:
- สื่อสารอย่างเปิดเผยและซื่อตรงกับทนายความ ให้ข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการ
- ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทนายเข้าใจสถานการณ์และพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม

 

### **วางแผนและเตรียมการ**
1. **รวบรวมหลักฐาน**:
- เก็บรวบรวมหลักฐานสำคัญ เช่น เอกสาร, ภาพถ่าย, วิดีโอ หรือพยานบุคคล
- ทำสำเนาเอกสารสำคัญเพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย

 

2. **จัดการพยาน**:
- หาพยานที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
- ทำความเข้าใจและฝึกซ้อมการให้การในศาล

 

3. **เตรียมตัวสำหรับการติดต่อสื่อสาร**:
- เตรียมคำถาม, ข้อโต้แย้ง, และข้อแนะนำที่สำคัญในการพูดคุยกับทนาย
- ฝึกตอบคำถามที่อาจเกิดขึ้นในการซักถามในศาล

 

### **ใช้เครื่องมือเสริม**
1. **การวิจัย**:
- ใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อเข้าใจกฎหมายเพิ่มเติมและเรียนรู้จากกรณีคดีอื่น ๆ
- ศึกษาผลลัพธ์ของคดีที่คล้ายคลึงเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม

 

2. **แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม**:
- เข้าร่วมกลุ่มหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
- ใช้บริการที่ปรึกษาด้านกฎหมายหรือศูนย์ให้บริการด้านกฎหมายฟรีสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

 

การรู้กฎหมาย รู้จักทนาย และเตรียมการอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณมีความมั่นใจและโอกาสในการต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียเปรียบในทุกสถานการณ์
ค้นหาทนายความสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ https://www.thailand-lawyer.info

 

***************************************




มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445  ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้   www.ทนายใกล้คุณ.com

ทนายเล่าเรื่อง คดีมีทุนทรัพย์ กับไม่มีทุนทรัพย์ประสมกัน อุทธรณ์หรือฎีกาได้หรือไม่ ไปดูฎีกานี้ครับ

การฟ้องคดีขับไล่หาได้มีความหมายเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์แต่เพียงอย่างเดียวเสมอไป การที่โจทก์ฟ้องขับไล่เป็นการฟ้องตั้งสิทธิอันเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยในเรื่องผิดสัญญาเช่าและไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทต่อไป อันเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีไม่มีทุนทรัพย์เท่านั้นแต่การที่โจทก์เรียกค่าเช่าที่ค้างชำระ ก่อนบอกเลิกสัญญาเช่าและค่าเสียหายภายหลังจากการบอกเลิกสัญญาเช่าเข้ามาด้วยรวมเป็นเงิน 186,000 บาท คดีในส่วนหลังนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง

 แม้คดีฟ้องขับไล่ซึ่งเป็นคดีหลักหรือคดีประธาน จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทในอัตราค่าเช่าเดือนละ 600 บาทแม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดค่าเสียหายหลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าให้เดือนละ 20,000 บาท ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าขณะยื่นคำฟ้องเพราะเป็นเพียงแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องฟังว่าตึกแถวพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ4,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองแต่เมื่อคดีนี้เป็นทั้งคดีไม่มีทุนทรัพย์และคดีมีทุนทรัพย์รวมกันมาเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน125,920 บาท จึงเกินกว่า 50,000 บาท ย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยถูกจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงฐานะที่เป็นคดีฟ้องขับไล่ แต่จำเลยยังมีสิทธิในการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่เป็นส่วนของคดีมีทุนทรัพย์ได้การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยส่วนนี้เป็นการไม่ชอบ

*****************************************

2. ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445  ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้   www.สู้คดี.com

ทนายเล่าเรื่อง อุทธรณ์-ฎีกาต้องขออนุญาตก่อนหรือไม่

ฎีกาที่ 2412/2562

โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ในคดีส่วนแพ่งด้วย เมื่อโจทก์ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และขอให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เมื่อคดีส่วนอาญาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว คดีส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาย่อมไม่ต้องห้ามฎีกา โจทก์ร่วมจึงไม่ต้องขออนุญาตฎีกาคดีส่วนแพ่ง

    แม้ตาม ป.วิ.อ. ได้มีคำอธิบายคำว่าผู้เสียหายไว้ในมาตรา 2 (4) ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้เสียหาย หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6" แต่ข้อความตามมาตรา 44/1 ที่บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้นั้น ย่อมมีความหมายในตัวว่า หมายถึงผู้ที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน จึงมีความหมายที่แตกต่างเกินกว่าความหมายของผู้เสียหายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 (4) ถือได้ว่าขัดกัน การตีความคำว่าผู้เสียหายตามมาตรา 44 /1 จึงไม่ต้องถือความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 2 (4) ทั้งนี้เป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 1 ที่บัญญัติว่า "ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าคำใดมีคำอธิบายให้ถือตามความหมายดังได้อธิบายไว้ เว้นแต่ข้อความในตัวบทจะขัดกับคำอธิบายนั้น" ทั้งการที่พนักงานอัยการได้ดำเนินการเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายไม่อาจยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่พนักงานอัยการได้เรียกแทน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 และ 44/1 วรรคสาม ดังนั้น การพิจารณาว่าผู้ใดมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทน ต้องพิจารณาจากสิทธิในทางแพ่ง ทำให้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ทั้ง มาตรา 44/1 วรรคสอง ก็บัญญัติความว่า.... ถือว่าคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. และผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่ง ดังนั้น เมื่อโจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ทั้งคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ย จึงใช้สิทธิในคดีส่วนแพ่งได้ และคดีส่วนแพ่งก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง เมื่อคดีส่วนแพ่งโจทก์ร่วมกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นพิพากษายอมความแล้ว ซึ่งคู่ความมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอม โดยจำเลยอุทธรณ์เฉพาะคดีส่วนอาญาขอให้รอการลงโทษเท่านั้น คดีส่วนแพ่งจึงยุติและต้องบังคับไปตามคำพิพากษาตามยอม ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบที่วินิจฉัยให้เฉพาะคดีส่วนอาญาเท่านั้น

*************************************** 

Visitors: 47,640