Chat with us, powered by LiveChat

คดีจ้างทำของ

1. คดีจ้างทำของ

A. ข้อกฎหมายและองค์ประกอบกฎหมายเกี่ยวกับจ้างทำของ
B. ฟ้องหรือสู้คดีจ้างทำของต้องเตรียมพยานหลักฐานอะไรบ้าง
C. สู้คดีจ้างทำของอย่างไรให้ชนะ
D. รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ

 

***************************************

 

A. การจ้างทำของในประเทศไทยถูกควบคุมโดยกฎหมายที่มีข้อกำหนดเฉพาะและองค์ประกอบที่ต้องพิจารณา นี่คือข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายและองค์ประกอบกฎหมายในการจ้างทำของ:

 

### ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. **ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์**:
- หมวด 5 ว่าด้วยสัญญาจ้างทำของ มาตรา 587 ถึง 607

 

### องค์ประกอบกฎหมายในการจ้างทำของ
1. **สัญญาจ้างทำของ**:
- ผู้ว่าจ้างเป็นหนึ่งในฝ่ายที่ทำหน้าที่จ้าง และผู้รับจ้างเป็นฝ่ายที่ต้องทำและส่งมอบของตามที่ระบุไว้ในสัญญา

 

2. **การตกลงกันระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง**:
- ต้องมีการตกลงในเรื่องลักษณะของงาน วิธีการส่งมอบ และค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้าง

 

3. **รายละเอียดในสัญญา**:
- **รายละเอียดของงาน**: ต้องระบุให้ชัดเจนว่างานที่ผู้รับจ้างต้องทำประกอบด้วยอะไรบ้าง และต้องการผลลัพธ์อย่างไร
- **วิธีการและขั้นตอนการทำงาน**: ระบุถึงวิธีการดำเนินงาน ขั้นตอนหรือกระบวนการที่ต้องปฏิบัติ
- **ระยะเวลาในการดำเนินงาน**: ระบุถึงระยะเวลาที่ต้องทำงานให้แล้วเสร็จ และระยะเวลาที่ต้องส่งมอบงาน

 

4. **ค่าจ้าง**:
- ต้องระบุค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้กับผู้รับจ้าง ซึ่งอาจเป็นเงินก้อนเดียวหรือแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ก็ได้

 

### ส่วนประกอบที่เสริมในสัญญาจ้างทำของ
1. **เงื่อนไขการชำระเงิน**:
- ระบุชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการชำระเงิน กำหนดเวลา และวิธีการชำระว่าเป็นเงินสด โอนเงิน หรือเช็ค

 

2. **การตรวจรับและการตรวจสอบคุณภาพ**:
- ระบุวิธีการตรวจรับงานและคุรภาพของงาน วิธีการทดสอบและเงื่อนไขการคืนงานที่ไม่เป็นไปตามสัญญา

 

3. **ความรับผิดชอบต่อความเสียหาย**:
- ระบุความรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายหรือความผิดพลาดในงาน ซึ่งอาจเป็นผลงานหรือการบริการที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด

 

4. **การแก้ไขปัญหาและวิธีการแก้ไขข้อพิพาท**:
- ระบุวิธีการแก้ไขข้อพิพาทหรือการขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น โดนใช้การเจรจาประนีประนอม การชำระหนี้ การอนุญาโตตุลาการ หรือการดำเนินการตามกฎหมาย

 

การเข้าใจและจัดทำสัญญาจ้างทำของที่ดีกับทั้งสองฝ่ายจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งในภายหลัง ฉะนั้นการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือทนายความที่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจ้างทำของจะเป็นประโยชน์อย่างมาก

 

***************************************

 

B. การฟ้องหรือสู้คดีจ้างทำของนั้นจำเป็นต้องเตรียมพยานหลักฐานหลายประเภท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของคดี แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณควรเตรียม:

 

1. **สัญญาหรือข้อตกลงการจ้างทำของ**: หากมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ควรนำมาแสดงเพื่อยืนยันข้อตกลงระหว่างคู่กรณี

 

2. **เอกสารใบสั่งงานหรือใบสั่งซื้อ**: เพื่อยืนยันการสั่งงาน รวมถึงรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

3. **ใบเสร็จรับเงินหรือใบแจ้งหนี้**: เพื่อแสดงข้อมูลการชำระเงินและการส่งมอบงาน

 

4. **พยานบุคคล**: หากมีบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ้างทำของ ควรเตรียมพยานบุคคลมาให้การ

 

5. **หลักฐานการส่งมอบงาน**: เช่น ภาพถ่ายหรือเอกสารที่ยืนยันการส่งมอบงานในแต่ละครั้ง

 

6. **หลักฐานการสนทนาหรือการสื่อสาร**: เช่น อีเมล์ ข้อความ หรือบันทึกการสนทนา ที่แสดงถึงการติดต่อระหว่างคู่กรณี

 

7. **รายงานการดำเนินงาน**: รายงานความคืบหน้าของงาน หรือเอกสารที่แสดงถึงการดำเนินการตามข้อตกลง

 

8. **หลักฐานการเสียหาย**: หากมีข้อเรียกร้องเรื่องความเสียหาย ควรเตรียมหลักฐานที่แสดงถึงความเสียหายนั้น เช่น ภาพถ่าย หรือรายงานการประเมินความเสียหาย

 

9. **พยานวิชาชีพ**: เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับงานจ้างทำของ

 

การเตรียมพยานหลักฐานเหล่านี้จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในคดีของคุณและเพิ่มโอกาสที่จะได้รับความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี

 

***************************************

 

C. การเตรียมตัวและการสู้คดีจ้างทำของเพื่อให้มีโอกาสชนะต้องพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้:

 

1. **รวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วน:** รวบรวมสัญญา ข้อตกลง ใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งงาน เอกสารการสนทนา พยานบุคคล และหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

2. **ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:** ศึกษาพระราชบัญญัติและบทบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างทำของ เพื่อให้เข้าใจข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง

 

3. **ประเมินสถานการณ์:** ประเมินข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของตนเองในคดี ว่ามีหลักฐานอะไรที่สามารถใช้สนับสนุนข้อเรียกร้องของตัวเองได้มากที่สุด

 

4. **จัดทำเอกสารและคำร้องให้ครบถ้วน:** เตรียมคำฟ้องหรือคำร้องต่อศาลอย่างเป็นระบบและครบถ้วน โดยรวมถึงการระบุข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

 

5. **ปรึกษาทนายความ:** ควรปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการคดีจ้างทำของ เพื่อให้คำแนะนำและช่วยเตรียมการพิจารณาคดี

 

6. **เตรียมตัวในการขึ้นศาล:** หากต้องการเป็นพยานในคดี ควรฝึกการให้การและทบทวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถตอบคำถามได้อย่างมั่นใจและชัดเจน

 

7. **ใช้ผู้เชี่ยวชาญ:** หากมีข้อพิพาททางเทคนิคหรือเชิงอาชีพ ควรมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเป็นพยานหรือให้ความเห็นเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนความน่าเชื่อถือของข้อมูล

 

8. **เตรียมพยานบุคคล:** จัดเตรียมพยานบุคคลที่มีความสำคัญในคดี เพื่อให้การสนับสนุน ความคิดเห็น และข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อคดี

 

9. **เน้นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย:** ในการว่าคดี ควรเน้นและชี้ชัดให้เห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สนับสนุนข้อเรียกร้องของคุณ

 

10. **ยืนยันความถูกต้องและความเสถียรของหลักฐาน:** ยืนยันว่าสิ่งที่นำเสนอคือข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ และพยายามชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องและการดำเนินการตามข้อตกลง

 

การเตรียมตัวอย่างดีและมีความมั่นใจในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนจะเพิ่มโอกาสในการชนะคดีจ้างทำของ

 

***************************************

 

D. รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ
การรู้กฎหมายและรู้จักใช้ประโยชน์จากทนายความเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณไม่เสียเปรียบในคดีต่าง ๆ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำคัญ:

 

### **รู้กฎหมาย**
1. **ศึกษากฎหมายเบื้องต้น**:
- เรียนรู้หลักการและข้อกฎหมายพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีของคุณ เช่น กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง ฯลฯ
- ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์, หนังสือกฎหมาย หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจ

 

2. **รู้สิทธิและหน้าที่**:
- ศึกษาสิทธิ์ของตนเอง หน้าที่และข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อรู้สิทธิ์แล้ว สามารถปกป้องตนเองและต่อสู้ในกรณีที่ถูกละเมิดได้

 

### **รู้จักทนายความ**
1. **เลือกทนายที่มีความเชี่ยวชาญ**:
- เลือกทนายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในคดีที่คุณเผชิญ
- ทนายที่เคยจัดการคดีคล้ายคลึงหรือมีประวัติที่ดีจะทำให้คุณมั่นใจมากขึ้น

 

2. **สร้างความสัมพันธ์ที่ดี**:
- สื่อสารอย่างเปิดเผยและซื่อตรงกับทนายความ ให้ข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการ
- ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทนายเข้าใจสถานการณ์และพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม

 

### **วางแผนและเตรียมการ**
1. **รวบรวมหลักฐาน**:
- เก็บรวบรวมหลักฐานสำคัญ เช่น เอกสาร, ภาพถ่าย, วิดีโอ หรือพยานบุคคล
- ทำสำเนาเอกสารสำคัญเพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย

 

2. **จัดการพยาน**:
- หาพยานที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
- ทำความเข้าใจและฝึกซ้อมการให้การในศาล

 

3. **เตรียมตัวสำหรับการติดต่อสื่อสาร**:
- เตรียมคำถาม, ข้อโต้แย้ง, และข้อแนะนำที่สำคัญในการพูดคุยกับทนาย
- ฝึกตอบคำถามที่อาจเกิดขึ้นในการซักถามในศาล

 

### **ใช้เครื่องมือเสริม**
1. **การวิจัย**:
- ใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อเข้าใจกฎหมายเพิ่มเติมและเรียนรู้จากกรณีคดีอื่น ๆ
- ศึกษาผลลัพธ์ของคดีที่คล้ายคลึงเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม

 

2. **แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม**:
- เข้าร่วมกลุ่มหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
- ใช้บริการที่ปรึกษาด้านกฎหมายหรือศูนย์ให้บริการด้านกฎหมายฟรีสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

 

การรู้กฎหมาย รู้จักทนาย และเตรียมการอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณมีความมั่นใจและโอกาสในการต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียเปรียบในทุกสถานการณ์
ค้นหาทนายความสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ https://www.thailand-lawyer.info

 

***************************************

 

2. ทนายเล่าเรื่อง จ้างทำของ

ฎีกาที่ 65/2563

โจทก์และจำเลยได้ประชุมและตกลงเกี่ยวกับเนื้อหาและรายละเอียดการจ้างแล้ว แม้จำเลยยังมิได้ลงนามในสัญญาจ้างให้โจทก์เข้าจัดงานดังกล่าว แต่ตามพฤติการณ์ที่ปฏิบัติต่อกันจำเลยแสดงออกชัดเจนว่ายินยอมให้โจทก์เข้าดำเนินการเตรียมการจัดงานและมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดงานเบื้องต้นเกิดขึ้นแล้ว แม้ต่อมาจำเลยให้เลื่อนการจัดงานและมีคำสั่งให้ยกเลิกการจัดงานดังกล่าว โจทก์มีหนังสือแจ้งยอดค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดการเบื้องต้นแก่จำเลย พร้อมสรุปค่าใช้จ่ายให้ทราบแล้ว จำเลยขอเจรจาปรับลดยอดค่าใช้จ่าย โจทก์ยอมลดลงให้แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระ การที่โจทก์มีหนังสือทวงถามค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดงานเบื้องต้นดังกล่าว จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าโจทก์ยังไม่ได้เริ่มงาน เพียงแต่โต้แย้งเรื่องจำนวนค่าจ้าง แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้เข้าเริ่มทำงานเบื้องต้นตามความจำเป็นของลักษณะงานสัมมนาและนิทรรศการตามฟ้องไปบางส่วน ตามที่ได้รับการอนุมัติจากจำเลยจริง ซึ่งการงานที่โจทก์ได้กระทำไปนั้นเป็นประโยชน์แก่จำเลยโดยตรง การที่จำเลยมีคำสั่งยกเลิกการจัดงานดังกล่าว โดยยังมิได้ลงนามในสัญญาจ้างต่อกัน ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดชำระค่าจ้างในการงานที่โจทก์ทำไปแล้วบางส่วน เนื่องจากกรณีตามฟ้องเป็นเรื่องการจ้างทำของ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือต้องทำเป็นหนังสือสัญญาต่อกัน

การชุมนุมทางการเมืองตามที่จำเลยอ้าง ยังไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 8 อันจะเป็นผลทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 219 วรรคสอง และมาตรา 372 วรรคหนึ่ง

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445  ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้   www.สู้คดี.com 

***************************************

ทนายเล่าเรื่อง คดีจ้างทำของ

ฎีกาที่ 3023/2562

แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 131362 และ 133534 แก่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 ทราบว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาจ้างทำของและต้องบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสี่มีเจตนาโอนและรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ก็ตาม แต่เมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5919/2555 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาจ้างทำของ มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 131362 และ 133534 อันเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งให้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่จำเลยที่ 4 จึงมิใช่กรณีที่เป็นการโอนและรับโอนที่ดินพิพาทเพื่อขัดขวางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพิพาทตามที่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลไว้อันจะทำให้นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนซึ่งเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แต่ตามคำฟ้องของโจทก์หากเป็นจริงดังอ้างก็เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 อันจะต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ 2 ลักษณะ 1 หมวด 2 ส่วนที่ 4

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445  ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้   www.ทนายใกล้คุณ.com

*************************************** 

3. ทนายเล่าเรื่อง สั่งซ่อมรถแล้ว ไม่ไปรับรถคืน ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่

ฎีกาที่ 2730/2562

การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมไปรับรถยนต์พิพาทคืนทั้งที่อยู่ในวิสัยที่คาดหมายได้ว่า โจทก์ไม่ดำเนินการซ่อมระบบเบรกรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองอย่างแน่นอน โดยยังคงจอดรถยนต์พิพาททิ้งไว้บริเวณศูนย์บริการของโจทก์มาเป็นเวลาหลายปี ย่อมถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในการที่จะใช้ประโยชน์ในสถานที่ที่จำเลยทั้งสองจอดรถยนต์พิพาททิ้งไว้ การที่โจทก์มาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับรถยนต์พิพาทกลับคืนไปและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับรถยนต์พิพาทคืนทั้งที่โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองไปรับรถยนต์พิพาทคืนแล้ว และยังฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าเสียหายที่เกิดจากการจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานานนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง

แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองจะเป็นการทำละเมิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 2 นำรถยนต์พิพาทไปจอดไว้ที่ศูนย์บริการของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้เป็นรายวัน สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายส่วนที่เกิน 1 ปี นับแต่วันฟ้องย้อนไปจึงย่อมขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระค่าเสียหาย 1 ปี ย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่โจทก์ฟ้องคดีจึงชอบแล้ว

มีคดีที่ศาลใหน ให้ทนายในเครือข่ายของเราช่วยท่าน ปรึกษาทนายความของเราได้ที่ 099 464 4445  ค้นหาทนายในเครือข่ายของเราได้ที่เวปไซต์นี้   www.เครือข่ายทนายความ.com 

***************************************

4. ทนายเล่าเรื่อง คดีจ้างทำของ

ฎีกาที่ 7410/2562

แม้ข้อตกลงการจ้างเหมาบริการระหว่างจำเลยกับ อ. จะระบุว่า การว่าจ้างตามข้อตกลงนี้ไม่ทำให้ผู้รับจ้างมีฐานะเป็นลูกจ้างของทางราชการ หรือมีความสัมพันธ์ในฐานะเป็นลูกจ้างของผู้ว่าจ้างตามกฎหมายแรงงานก็ตาม แต่ข้อตกลงอื่นที่ระบุไว้ประกอบพฤติการณ์การมอบหมายงานซึ่งกำหนดเวลาทำงาน การสั่งการให้ อ. รับมอบหมายงานในแต่ละวันตามแต่ดุลพินิจของผู้ว่าจ้าง ตลอดจนการควบคุมความประพฤติของ อ. ในระหว่างการปฏิบัติงานอันมีลักษณะการบังคับบัญชาให้ อ. ทำตามคำสั่งการของผู้ว่าจ้างโดย อ. มิได้ปฏิบัติงานอย่างอิสระ มุ่งเพียงผลสัมฤทธิ์ของงานดังเช่นการจ้างทำของแล้ว การจ้างเหมาบริการระหว่างจำเลยกับ อ. จึงมีลักษณะเป็นการจ้างแรงงาน หาใช่เป็นการจ้างทำของ อ. จึงมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยและเป็นเจ้าหน้าที่ตามความในมาตรา 4 แห่ง  พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เมื่อ อ. กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐย่อมต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยตามมาตรา 5

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445  ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้   www.สู้คดี.com

***************************************

5. ทนายเล่าเรื่อง จ้างทำของที่คู่สัญญาไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้

ฎีกาที่ 7118/2561

โจทก์ร่างสัญญาว่าจ้างให้จำเลยลงลายมือชื่อและจำเลยขอแก้ไขรายละเอียดก่อน แต่จำเลยก็ให้โจทก์เข้าทำงานตามที่ตกลงกันแล้วโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการพูดถึงเงื่อนไขและข้อตกลงในสัญญาที่ยังตกลงในสัญญาที่ยังตกลงกันไม่ได้อีก เหตุที่มีการโต้เถียงเรื่องสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรเกิดจากการที่โจทก์ทวงถามค่าจ้างจากจำเลย จำเลยจึงอ้างระเบียบของจำเลยที่ต้องทำสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาโจทก์และจำเลยก็ไม่ได้ลงชื่อในสัญญาจ้างแต่โจทก์ก็ยอมรับปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้รับจ้าง ส่วนจำเลยได้ถือเอาประโยชน์จากสัญญาในฐานะผู้ว่าจ้างและมีการชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว พฤติการณ์แห่งคดีเช่นนี้ เชื่อได้ว่าโจทก์ตกลงรับจะทำการงานให้แก่จำเลยและจำเลยตกลงให้ค่าจ้างเพื่อการนั้น ทำให้สัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์และจำเลยได้เกิดขึ้นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 โดยโจทก์และจำเลยมิได้มุ่งหมายให้สัญญาจ้างทำของพิพาทต้องทำสัญญากันเป็นหนังสือโดยให้คู่สัญญาลงชื่อในสัญญาอีก สัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย หาได้มีกรณีเป็นที่สงสัยว่าสัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445  ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้   www.ทนายใกล้คุณ.com 

***************************************

6. ทนายเล่าเรื่อง กิจการร่วมค้า

ฎีกาที่ 7289/2561

จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สัญญาจ้างเหมาพิพาทไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เพราะยังมิได้ทำเป็นหนังสือตามเจตนาของคู่สัญญา ประเด็นปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า แม้ว่า กิจการร่วมค้า จ. และจำเลยที่ 1 มีเจตนาว่าสัญญาจ้างเหมาอันมุ่งจะทำต่อกันนั้นต้องทำเป็นหนังสือ แต่ก่อนที่กิจการร่วมค้า จ. และจำเลยที่ 1 จะทำสัญญาเป็นหนังสือดังเจตนาที่มีอยู่เดิม ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ส่งโทรสารแจ้งไปยังกรรมการผู้จัดการ กิจการร่วมค้า จ. ว่าให้เริ่มงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2556 เป็นต้นไป กิจการร่วมค้า จ. จึงเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่ง จำเลยที่ 3 จึงมีฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย ประกอบกับหนังสือที่ส่งทางโทรสารยังใช้แบบพิมพ์ที่มีหัวกระดาษระบุชื่อจำเลยที่ 1 จึงรับฟังว่าจำเลยที่ 3 กระทำในนามของจำเลยที่ 1 ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามข้อความในหนังสือดังกล่าว นอกจากนี้ ภ. พยานจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ยอมรับว่า หลังจากกิจการร่วมค้า จ. เริ่มทำงานแล้ว กิจการร่วมค้า จ. ได้วางแคชเชียร์เช็คเป็นมูลค่าร้อยละ 5 ตามสัญญา ซึ่งจำเลยที่ 1 รับไปเรียบร้อยแล้ว จากข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 และกิจการร่วมค้า จ. ปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ เท่ากับว่ามีการตกลงกันใหม่โดยผ่อนผันไม่ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือต่อกันเป็นการชั่วคราว และสัญญาจ้างเหมาเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นเป็นโมฆะ ดังนั้น ถือได้ว่าสัญญาจ้างเหมาดังกล่าวมีผลผูกพันจำเลยที่ 1

ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า พฤติการณ์ตามที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยฟังว่าคู่สัญญามีเจตนาตกลงกันใหม่โดยผ่อนผันไม่ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือต่อกันเป็นการชั่วคราว ล้วนเกิดจากความไม่สุจริตของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 มิได้ยินยอมด้วยนั้น แม้จำเลยที่ 1 มิได้ให้การเป็นข้อต่อสู้ไว้ แต่ปัญหาว่าการใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นนี้ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดี ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ย่อมไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ ป.พ.พ. มาตรา 6 บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมมีภาระหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความไม่สุจริตของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างเพียงว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ตามพฤติการณ์ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นนั้น เป็นการกระทำโดยพลการอันเกิดจากการชี้นำของโจทก์ เพราะโจทก์ทราบข้อมูลภายในของจำเลยที่ 1 ว่ายังไม่อาจดำเนินการโครงการตามสัญญาจ้างเหมาพิพาทได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินเพื่อส่งมอบให้โจทก์ โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตชี้นำจำเลยที่ 3 อย่างไร เท่ากับข้ออ้างของจำเลยที่ 1 เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ง่ายแก่การกล่าวอ้าง ลำพังเพียงคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ที่ว่า กรรมการของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใหญ่ของโจทก์ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะมาทำงานกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เคยทำงานให้จำเลยที่ 2 มาก่อน และจำเลยที่ 2 เป็นผู้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 3 มาเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 หรือการที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลภายนอกให้ทำงานมูลค่าเป็นสิบล้านบาทในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะสั่งให้ชะลอโครงการ ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความไม่สุจริตของโจทก์ได้ ประการสำคัญที่สุดหากจำเลยที่ 1 เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำโดยพลการอันเกิดจากการชี้นำของโจทก์ จำเลยที่ 1 ชอบที่จะปฏิเสธว่าสัญญาจ้างเหมาพิพาทยังไม่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ต้น แต่จำเลยที่ 1 ก็หากระทำไม่ ตรงกันข้ามกลับมีหนังสือขอให้กิจการร่วมค้า จ. ชะลองานและการทำสัญญาโครงการออกไปก่อน ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 18 เมษายน 2556 อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของสัญญาจ้างเหมาพิพาทแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คดีนี้จำเลยที่ 1 มิได้อยู่ในฐานะเป็นคู่ความคนละฝ่ายกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์

มีคดีที่ศาลใหน ให้ทนายในเครือข่ายของเราช่วยท่าน ปรึกษาทนายความของเราได้ที่ 099 464 4445  ค้นหาทนายในเครือข่ายของเราได้ที่เวปไซต์นี้   www.เครือข่ายทนายความ.com

*************************************** 

7. ทนายเล่าเรื่อง สัญญาจะอยู่ในอำนาจการพิจารณาคดีของศาลใด

ฎีกาที่ 8/2560

ผู้ฟ้องคดีเป็นสถาบันในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษานั้นโดยเฉพาะและมีฐานะเป็นกรม ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่ในวันที่พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้บังคับ จึงมีฐานะเป็นสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน อันเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเอกชนให้บริการในการเดินทางศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นของนักศึกษาโครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้จัดการยุคใหม่ จำนวน ๖ ฉบับ ซึ่งข้อ ๑ ของสัญญาระบุว่า ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างและผู้รับจ้างตกลงรับจ้างเหมาบริการในการเดินทางศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น ข้อ ๒ ระบุหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ว่า ผู้รับจ้างตกลงรับจ้างทำการตามสัญญาข้อ ๑ โดยต้องจัดหาพนักงานที่มีความประพฤติดีมีความสามารถปฏิบัติงานด้วยความเรียบร้อย ใช้วัสดุ เครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ชนิดดี ข้อกำหนดของสัญญาจึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างเหมาบริการ ซึ่งเป็น สัญญาจ้างทำของทั่วไป แม้ขอบเขตของงาน (TOR) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระบุวัตถุประสงค์ว่า ๓.๑ เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ สามารถประยุกต์ใช้ในการเรียนและการปฏิบัติงานจริงก็เป็นเพียงวัตถุประสงค์ของการศึกษาดูงานตามโครงการ มิใช่วัตถุประสงค์ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เข้าจัดทำบริการสาธารณะเสียเอง ประกอบกับเมื่อพิจารณาขอบเขตของงาน (TOR) ข้อ ๗ และที่กำหนดในใบเสนอราคาล้วนเป็นบริการเกี่ยวกับการจองตั๋วเครื่องบินค่าธรรมเนียมการเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ การผ่านแดน ค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่าจัดทำเอกสาร การเดินทาง กระเป๋า และเสื้อของคณะเดินทาง รวมถึงค่าประกันอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งเป็นการจ้างเหมาบริการเท่านั้น แม้จะปรากฏว่ามีค่าบริการเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสถานที่ศึกษาดูงานด้วย หน้าที่ของโจทก์ก็เป็นเพียงนายหน้าในการพาคณะนักศึกษาเข้าศึกษาดูงานในสถานที่ดังกล่าว แต่มิใช่เป็นการให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงอันจะถือว่าเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ทั้งสัญญาพิพาทไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทานหรือสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือสัญญาแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สัญญาพิพาทในคดีนี้จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ดังนั้นข้อพิพาทเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามสัญญาทั้งหมดนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่ทำสัญญาค้ำประกันผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาจ้างเหมาบริการดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมเช่นกัน

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445  ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้   www.สู้คดี.com

*************************************** 

8. ทนายเล่าเรื่อง สัญญาอยู่ในอำนาจการพิจารณาคดีของศาลใด

ฎีกาที่ 161/2560

สัญญาทางปกครองประเภท "สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ" นั้น ต้องเป็นกิจกรรมที่หน่วยงานทางปกครองมีหน้าที่ต้องจัดทำเพื่อการบริการสาธารณะด้วยตนเอง แต่มอบอำนาจนั้นให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการหรือเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมนั้นแทน แต่สัญญาพิพาทเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองว่าจ้างเอกชนทำป้ายชื่อซอย คลอง และเส้นทางลัด ภายในเขตเทศบาล จำนวน ๑๐๐ ป้าย โดยมีกำหนดระยะเวลาการส่งมอบงาน และตกลงจะให้ค่าจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานนั้น โดยไม่มีสัญญาข้อใดให้เอกชนคู่สัญญามีหน้าที่ดำเนินกิจกรรมอื่นในลักษณะที่มอบหมายให้เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะซึ่งเป็นภารกิจของโจทก์ อันจะถือว่าเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ดังนั้น ข้อกำหนดของสัญญาจึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของทั่วไป ไม่ใช่การมอบหมายให้จำเลยเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงกับโจทก์ สัญญาพิพาทจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามบทนิยามของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นเพียงสัญญาทางแพ่งที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445  ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้   www.สู้คดี.com 

*************************************** 

9. ทนายเล่าเรื่อง สัญญาจ้างทำของกับหน่วยงานของรัฐ อยู่ในเขตอำนาจการพิจารณาคดีของศาลใด

ฎีกาที่ 124/2560

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๔) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันให้ความหมายของสัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทานสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยสัญญาทางปกครองประเภท "สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ"นั้น ต้องเป็นกิจกรรมที่หน่วยงานทางปกครองมีหน้าที่ต้องจัดทำเพื่อการบริการสาธารณะด้วยตนเอง แต่มอบอำนาจนั้นให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการหรือเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมนั้นแทน คดีนี้โจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องจังหวัดมุกดาหาร เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร ขอให้ชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญาจ้างก่อสร้างองค์พระพุทธรูปเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ระยะที่ ๓) เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ณ วัดพระพุทธบาทภูมโนรมย์ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เมื่อจำเลยเป็นราชการส่วนภูมิภาคตาม มาตรา ๕๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครองตาม มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ สัญญาจ้างก่อสร้างพิพาท จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาของสัญญาจ้าง และบันทึกแนบท้ายสัญญาจ้าง ไม่มีสัญญาข้อใดให้โจทก์ทั้งสองมีหน้าที่ดำเนินกิจกรรมอื่นในลักษณะที่จำเลยมอบหมายให้โจทก์ทั้งสองเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นภารกิจของจำเลย อันจะถือว่าเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ แม้พระพุทธรูปจะมีขนาดใหญ่ต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานถึง ๖๐๐ วัน และมีราคาค่าจ้างสูงถึง ๔๔,๗๖๗,๐๐๐ บาท แต่ข้อกำหนดของสัญญาเป็นสัญญาจ้างทำของทั่วไป ไม่ใช่การมอบหมายให้โจทก์ทั้งสองเข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงกับจำเลย สัญญาพิพาทจึงไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามบทนิยามของมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นเพียงสัญญาทางแพ่งที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445  ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้   www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************************

10. ทนายเล่าเรื่อง สัญญาจ้างทำของที่ทำกับมหาวิทยาลัย

ฎีกาที่ 26/2559

คดีที่เอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัยรามคำแหงเรียกค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้บริการในการเดินทางศึกษาดูงานของนักศึกษาโครงการบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้จัดการยุคใหม่ ณ ประเทศญี่ปุ่น กับให้จำเลยคืนหนังสือค้ำประกันและชำระค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกัน  เห็นว่า  ข้อกำหนดของสัญญามีลักษณะเป็นสัญญาจ้างเหมาบริการซึ่งเป็นสัญญาจ้างทำของทั่วไป  แม้ขอบเขตของงาน (TOR) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระบุวัตถุประสงค์ว่าเพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ สามารถประยุกต์ใช้ในการเรียนและการปฏิบัติงานจริง ก็เป็นเพียงวัตถุประสงค์ของการศึกษาดูงานตามโครงการ มิใช่วัตถุประสงค์ให้โจทก์เข้าจัดทำบริการสาธารณะเสียเอง ประกอบกับขอบเขตของงานตามสัญญาและที่กำหนดในใบเสนอราคาล้วนเป็นบริการเกี่ยวกับการจองตั๋วเครื่องบินค่าธรรมเนียมการเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ การผ่านแดน ค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่าจัดทำเอกสารการเดินทาง กระเป๋า และเสื้อโปโลของคณะเดินทาง รวมถึงค่าประกันอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งเป็นการจ้างเหมาบริการเท่านั้น แม้จะปรากฏว่ามีค่าบริการเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสถานที่ศึกษาดูงานด้วย หน้าที่ของโจทก์ก็เป็นเพียงนายหน้าในการพาคณะนักศึกษาเข้าศึกษาดูงานในสถานที่ดังกล่าว แต่มิใช่เป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงอันจะถือว่าเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ทั้งสัญญาพิพาทไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือสัญญาแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามบทนิยามสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สัญญาพิพาทในคดีนี้จึงเป็นเพียงสัญญาทางแพ่งที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ดังนั้น ข้อพิพาทเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445  ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้   www.สู้คดี.com

***************************************

Visitors: 47,658